12.8.52

ดูใจว่าที่แฟนใน 10 ขั้นตอน

หากไม่แน่ใจว่าที่แฟนว่านิสัยจะตรงสเปกไหม ลองดู 10 ขั้นตอนเพื่อสำรวจก่อนตัดสินใจ

ขั้นตอนที่ 1 ถ้าหากอยากได้แฟนเป็นแม่บ้านแม่เรือน (พ่อบ้าน) ที่รับงานบ้านไปรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว ลองสังเกตเอาว่าหญิง (ชาย) ที่คบหาอยู่ เขาหรือเธอชอบการให้บริการกับสมาชิกในครอบครัวตลอดเวลาเป็นชีวิตจิตใจหรือเปล่า ซึ่งประเภท Working Woman คงไม่เหมาะกับประเภทนี้ เพราะว่าชีวิตคงจะมีให้กับอาชีพการงานมากกว่า หากคุณอยากได้คู่ครองเป็นคนมีความรับผิดชอบสูง สังเหตว่าเขาหรือเธอรับผิดชอบตัวเองได้ดีแค่ไหม ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้าใส่แล้วกองระเกะระกะไม่ซักอีกต่างหาก หรือจามชามที่กินแล้วก็ทิ้งไว้อืดในอ่างล้างจาน ก็ลองพิจารณาดูว่าจะเลือกมาเป็นแฟนไหม ถามใจตัวเองดู


ขั้นตอนที่ 2 เมื่อถึงวันสำคัญสำหรับเรา เขาหรือเธออยู่ที่ไหน เช่น ครบรอบวันที่สารภาพรักครั้งแรก, วันเกิด, วันที่มีจูบด้วยกันครั้งแรก หรือวันออกเดทแรก อีกมากมาย วันเหล่านี้เป็นวันสำคัญอย่างยิ่งสำหรับผู้หญิง และเธอก็คาดหวังว่าแฟนก็ควรจำได้ด้วย แม้จำไม่ได้ทั้งหมด แต่จำได้บ้างก็โรแมนติกแล้ว และถ้าคุณเป็นฝ่าย "ไม่เอาไหน" ในเรื่องความจำ แต่ดันไปรักไปชอบกับคนจำแม่นจำเก่งแล้วล่ะก็ ให้รีบปรับตัวโดยอาจจะหาปฏิทินแล้วบันทึกวันต่างๆ เก็บไว้ แล้วหยิบมาอ่านทุกเดือนจะทำให้ความรักยาวนานได้เลย

ขั้นตอนที่ 3 ปัญหาสุขภาพของเขาหรือเธอมีปัญหาสุขภาพด้านใดอยู่หรือเปล่า? เช่น เป็นมะเร็ง, เป็นลูคิเมีย หรือเป็นเอดส์? เพราะถ้ารู้ล่วงหน้าจะได้หาทางช่วยเหลือกันได้ทัน แต่หากเป็นโรค เช่น เอดส์หรือซิฟิลิสหรือโรคทางเพศสัมพันธ์ ก็ควรพิจารณาสักนิดว่านิสัยส่วนตัวเป็นคนสำส่อนหรือเปล่า? หากใช่แนะนำให้ถอนตัวถอนใจไปซะเถอะ แต่ถ้าไม่สบายอย่างอื่น เช่น เจ็บคอเป็นหวัด สามารถรักษากันได้ คนเราลองจะเป็นคู่ทุกข์คู่ยากแล้วก็ควรเอาใจใส่กันหน่อย


ขั้นตอนที่ 4. ประวัติครอบครัวของเขาหรือเธอที่ชอบพอนั้น มีความรักความผูกพันหรือขัดแย้งกับใครเป็นพิเศษในครอบครัวหรือเปล่า? สมาชิกในครอบครัวของลงรอยกันดีไหม? ถ้าไปเจอคนที่สมาชิกในครอบครัวรักใคร่กลมเกลียวกันดี ก็น่าจะส่อเค้าที่ดีว่าน่าจะเป็นคนรักครอบครัวและให้ความสำคัญของครอบครัว ว่าแต่ต้องลองดูเหมือนกันนะว่า ครอบครัวไหนที่เค้ารักมากกว่ากัน ไม่ว่าจะเป็นครอบครัวเดิม หรือครอบครัวใหม่ที่คุณทั้งคู่กำลังจะเริ่มต้นด้วยกัน


ขั้นตอนที่ 5. ความเลื่อมใสและศรัทธา พอจะไปกันได้ไหม เชื่อ ไหมว่า แม้คนที่มีความแตกต่างกันสุดขั้ว แต่ถ้าเปิดใจกว้างและมีความเข้าใจซึ่งกันและกัน คู่รักคู่นั้น ก็สามารถครองรักกันได้ตลอดรอดฝั่งแน่นอน เหตุนี้ ถ้ายังมีอะไรที่เข้าใจไม่ตรงกัน ก็ควรคุยกันก่อนจะได้ไม่เสียใจทีหลัง

ขั้นตอนที่ 6. ชอบและไม่ชอบอะไรบ้าง สถานที่ท่องเที่ยวแบบไหนที่คนที่คุณแอบรักชอบบ้างน้า? จะได้ดอดไปเที่ยวกันสองต่อสองไง หรืออาหารจานเด็ดประเภทใดที่เราชอบเหมือนๆกัน จะได้ หิ้วกันไปดื่ม ดริงก์ เจี๊ยะจ๊าบกันให้อร่อยเหาะสักที ถ้าชอบอะไรคล้ายกันมันก็ดีไปอย่าง เพราะจะได้ไปไหนมาไหนหรือมีกิจกรรมร่วมกันดีออก แต่ถ้ามีที่ชอบไม่ เหมือนกัน ก็อย่าได้ถอดใจตีจากกันไปซะก่อน เพราะบางทีการเรียนรู้ในสิ่งที่ชอบต่างกันอาจส่งผลดีกว่าในแง่ที่จะได้เปิด โลกทัศน์ ใหม่ๆก็ได้นะ

ขั้นตอนที่ 7. งานอดิเรกชอบทำอะไร เขาหรือเธอชอบทำอะไรยามว่างบ้างล่ะ ดูหนังฟังเพลง หรือชอบไปเดินเล่นตามสวนสาธารณะ แล้วช็อปปิ้งไปด้วย หรือนิยมไปออกกำลังกายยืดเส้นยืดสายที่โรงยิมหรือฟิตเนส บางคนชอบไปเล่นตีแบด หรือหวดลูกสักหลาดก็ขึ้นอยู่กับความถนัด งานอดิเรกเป็นอีกปัจจัยที่ช่วยบอกให้รู้ได้ว่า คุณกับเค้าจะไปกันได้ไหม?


ขั้นตอนที่ 8. ความต้องการทางร่างกาย เขาหรือเธอมีแรงขับทางเพศแบบนักรักบันลือโลก หรือแบบขันทีที่ไม่ค่อยอยากร่วมรัก (แต่เอ บางคนอาจมีอารมณ์เยอะ ทว่า ไม่ค่อยได้ออกกายบริหารก็ได้นะ) กันแน่? ซึ่งแรงสิเน่หาอยากร่วมรักนี่แหละเป็นสิ่งที่ควรนำมาพิจารณาชั่งใจกันให้ถี่ ถ้วน เพราะถ้าเค้าเซ็กซ์จัดเหลือเกิน วันๆเอาแต่คิดถึงเรื่องหลีสาว แถมยังสะสมวีซีดีเอ็กซ์ไว้เพียบ ตรงข้าม คุณกลับเฉยๆชาๆกับความต้องการในด้านนี้ ขืนจับคู่กันระวังจะเกิดความ ไม่สมดุลทางเพศได้นะ หรือถ้าคุณเป็นจอมหื่น แต่เค้าไม่ชีกอแถมยังไม่ปึ๋งปั๋งปรู๊ดปร๊าด ก็ยากที่จะไปกันได้ดี เฮ้อ! มีรักทั้งทีก็กลับมีเรื่องเซ็กซ์มาขวางซะได้

ขั้นตอนที่ 9. การวางแผนครอบครัวก่อนไหม ไม่ว่าถ้าร่วมหัวจมท้ายกันไป เราจะรีบมีลูกหรือชะลอไว้ก่อน เมื่อไหร่ที่พร้อมในด้านทรัพย์สมบัติค่อยเลิกคุมกำเนิดก็ได้นี่ ของพรรค์นี้ถ้าคุยกันอย่างเปิดใจก่อนก็น่าจะดี ไม่ใช่ปล่อยให้เป็นไปตามยถากรรม เดี๋ยวเหอะ เดี๋ยวคงได้ทะเลาะกันจนต้องเลิกราไปตามกรรมใครกรรมมันหรอก

ขั้นตอนที่ 10. การสมรส ถึงเวลาหรือยังที่ควรจะเป็นฝั่งเป็นฝาซะที แล้วคนที่คุณคบอยู่ตอนนี้เค้าเป็นคนที่ใช่แน่แล้วเหรอ? คุณมองเค้าแล้วเห็นอนาคตร่วมกันหรือเปล่า? ไม่ใช่ มองเห็นแต่ความว่างเปล่า หรือเต็มไปด้วยความไม่ พร้อมของทั้งคู่ ทั้งสองพร้อมจะรักและให้อภัยในความถูกมั่งผิดมั่งของกันและกันจริงนะ ถ้าในเมื่อยังมีสิทธิ์ที่จะเลือกได้อยู่ ก็ขอให้เลือกด้วยหัวใจและใช้สมองติ๊ดนึง ขืนเบื่อกันทีหลังล่ะ

23.7.52

วิธีป้องกันและควบคุมไข้หวัด 2009

ปัจจุบัน การแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ ชนิดเอ (เอช1 เอ็น1) กำลังขยายตัวไปทั่วโลก และขณะนี้ประเทศไทยพบการระบาดภายในประเทศแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถานศึกษา และสถานประกอบการ ซึ่งอาจแพร่ระบาดอย่างรวดเร็ว ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่นี้มีอาการคล้ายกันกับไข้หวัดหรือไข้หวัดใหญ่ ธรรมดา ส่วนใหญ่มีอาการน้อยและหายได้โดยไม่ต้องรับการรักษาที่โรงพยาบาล

สำหรับ ผู้ป่วยจำนวนไม่มากในต่างประเทศที่เสียชีวิต มักเป็นผู้ที่มีโรคประจำตัวเรื้อรัง เช่น โรคปอด หอบหืด โรคหัวใจและหลอดเลือด เบาหวาน เป็นต้น ผู้มีภูมิต้านทานต่ำ โรคอ้วน ผู้สูงอายุมากกว่า 65 ปี เด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี และหญิงมีครรภ์

สำหรับ วิธีการติดต่อและวิธีการป้องกันโรค จะคล้ายกับไข้หวัดใหญ่ธรรมดา กระทรวงสาธารณสุข จึงขอให้คำแนะนำในการป้องกันและควบคุมโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ ชนิดเอ (เอช1 เอ็น1) ดังต่อไปนี้

คำแนะนำสำหรับประชาชนทั่วไป
  1. ล้างมือบ่อยๆ ด้วยน้ำและสบู่ หรือใช้แอลกอฮอล์เจลทำความสะอาดมือ
  2. ไม่ใช้แก้วน้ำ หลอดดูดน้ำ ช้อนอาหาร ผ้าเช็ดมือ ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัว ร่วมกับผู้อื่น
  3. ไม่ควรคลุกคลีใกล้ชิดกับผู้ป่วยที่มีอาการไข้หวัด
  4. รักษาสุขภาพให้แข็งแรง ด้วยการกินอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ ดื่มน้ำมากๆ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
  5. ควรหลีกเลี่ยงการอยู่ในสถานที่ที่มีผู้คนแออัดและอากาศถ่ายเทไม่ดีเป็นเวลานาน โดยไม่จำเป็น
  6. ติดตามคำแนะนำอื่นๆ ของกระทรวงสาธารณสุขอย่างใกล้ชิด
คำแนะนำสำหรับผู้ป่วยไข้หวัดหรือไข้หวัดใหญ่
  1. หากมีอาการป่วยไม่รุนแรง เช่น ไข้ไม่สูง ไม่ซึม และรับประทานอาหารได้ สามารถรักษาตามอาการด้วยตนเองที่บ้านได้ ไม่จำเป็นต้องไปโรงพยาบาล ควรใช้พาราเซตามอลเพื่อลดไข้ (ห้ามใช้ยาแอสไพริน) นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ และดื่มน้ำมากๆ
  2. ควรหยุดเรียน หยุดงาน จนกว่าจะหายเป็นปกติ และหลีกเลี่ยงการคลุกคลีใกล้ชิด หรือใช้สิ่งของร่วมกับผู้อื่น
  3. สวมหน้ากากอนามัยเมื่อจำเป็นต้องอยู่กับผู้อื่น หรือใช้กระดาษทิชชู ผ้าเช็ดหน้า ปิดปากและจมูกทุกครั้งที่ไอ จาม
  4. ล้างมือบ่อยๆ ด้วยน้ำและสบู่ หรือใช้แอลกอฮอล์เจลทำความสะอาดมือ โดยเฉพาะหลังการไอ จาม
  5. หากมีอาการรุนแรง เช่น หายใจลำบาก หอบเหนื่อย อาเจียนมาก ซึม ควรรีบไปพบแพทย์
คำแนะนำสำหรับสถานศึกษา
  1. แนะนำให้นักเรียนที่มีอาการป่วยคล้ายไข้หวัดใหญ่ พักรักษาตัวที่บ้านหรือหอพัก หากมีอาการป่วยรุนแรง ควรรีบไปพบแพทย์
  2. ตรวจสอบจำนวนนักเรียนที่ขาดเรียนในแต่ละวัน หากพบขาดเรียนผิดปกติ หรือตั้งแต่ 3 คนขึ้นไปในห้องเรียนเดียวกัน และสงสัยว่าป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่ ให้แจ้งต่อเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในพื้นที่ เพื่อสอบสวนและควบคุมโรค
  3. แนะนำให้นักเรียนที่เดินทางกลับจากต่างประเทศ เฝ้าสังเกตอาการของตนเองเป็นเวลา 7 วัน ถ้ามีอาการป่วยให้หยุดพักรักษาตัวที่บ้าน
  4. หากสถานศึกษาสามารถให้นักเรียนที่มีอาการป่วยคล้ายไข้หวัดใหญ่ทุกคนหยุด เรียนได้ ก็จะป้องกันการแพร่กระจายเชื้อได้ดี และไม่จำเป็นต้องปิดสถานศึกษา แต่หากจะพิจารณาปิดสถานศึกษา ควรหารือร่วมกันระหว่างสถานศึกษากับเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในพื้นที่
  5. ควรทำความสะอาดอุปกรณ์ สิ่งของ เครื่องใช้ที่มีผู้สัมผัสจำนวนมาก เช่น โต๊ะเรียน ลูกบิดประตู โทรศัพท์ ราวบันได คอมพิวเตอร์ ฯลฯ โดยการใช้น้ำผงซักฟอกเช็ดทำความสะอาดอย่างน้อยวันละ 1 - 2 ครั้ง จัดให้มีอ่างล้างมือ น้ำและสบู่อย่างเพียงพอ ในบางวันควรเปิดประตูหน้าต่างให้อากาศถ่ายเทได้สะดวก และแสงแดดส่องได้ทั่วถึง
คำแนะนำสำหรับสถานประกอบการและสถานที่ทำงาน
  1. แนะนำให้พนักงานที่มีอาการป่วยคล้ายไข้หวัดใหญ่ พักรักษาตัวที่บ้าน หากมีอาการป่วยรุนแรง ควรรีบไปพบแพทย์
  2. ตรวจสอบจำนวนพนักงานที่ขาดงานในแต่ละวัน หากพบขาดงานผิดปกติ หรือตั้งแต่ 3 คนขึ้นไปในแผนกเดียวกัน และสงสัยว่าป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่ ให้แจ้งต่อเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในพื้นที่ เพื่อสอบสวนและควบคุมโรค
  3. แนะนำให้พนักงานที่เดินทางกลับจากต่างประเทศ เฝ้าสังเกตอาการของตนเองเป็นเวลา 7 วัน ถ้ามีอาการป่วยให้หยุดพักรักษาตัวที่บ้าน
  4. ในสถานการณ์ปัจจุบัน ยังไม่แนะนำให้ปิดสถานประกอบการหรือสถานที่ทำงาน เพื่อการป้องกันการระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่
  5. ควรทำความสะอาดอุปกรณ์ สิ่งของ เครื่องใช้ ที่มีผู้สัมผัสจำนวนมาก เช่น โต๊ะทำงาน ลูกบิดประตู โทรศัพท์ ราวบันได คอมพิวเตอร์ ฯลฯ โดยการใช้น้ำผงซักฟอกทั่วไปเช็ดทำความสะอาดอย่างน้อยวันละ 1 - 2 ครั้ง จัดให้มีอ่างล้างมือ น้ำและสบู่อย่างเพียงพอ ในบางวันควรเปิดประตู หน้าต่างให้อากาศถ่ายเทได้สะดวก และแสงแดดส่องได้ทั่วถึง
  6. ควรจัดทำแผนการประคองกิจการในสถานประกอบการและสถานที่ทำงาน เพื่อให้สามารถดำเนินกิจการต่อไปได้อย่างต่อเนื่อง หากเกิดการระบาดใหญ่ (ดูรายละเอียดในเว็บไซต์ของสำนักโรคติดต่ออุบัติใหม่ กรมควบคุมโรค http://beid.ddc.moph.go.th)
แหล่งข้อมูลการติดต่อ เพื่อปรึกษากับเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในพื้นที่
  • กรุงเทพมหานคร ติดต่อได้ที่ กองควบคุมโรค สำนักอนามัย กรุงเทพมหานคร โทรศัพท์ 0-2245-8106 , 0-2246-0358 และ 0-2354-1836
  • ต่างจังหวัด ติดต่อได้ที่ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทุกแห่ง
ติดตามข้อมูลและรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เว็บไซต์กระทรวงสาธารณสุข www.moph.go.th และ หากมีข้อสงสัย สามารถติดต่อได้ที่ ศูนย์ปฏิบัติการ กรมควบคุมโรค หมายเลขโทรศัพท์ 0-2590-3333 และศูนย์บริการข้อมูลฮอตไลน์ กระทรวงสาธารณสุข หมายเลขโทรศัพท์ 0-2590-1994 ตลอด 24 ชั่วโมง



ที่มา: หนังสือพิมพ์ASTV ผู้จัดการ
ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

19.7.52

ประวัติความเป็นมาของวันแม่

เกือบ 100 ปีแล้ว นับจากชาวอเมริกัน (American) เป็นผู้กำหนดให้มีวันแม่อย่างเป็นทางการขึ้น และ แอนนา เอ็ม. จาร์วิส (Anna M. Jarvis) คุณครูแห่งรัฐฟิลาเดลเฟีย (philadelphia) เป็นผู้ที่พยายามเรียกร้องให้มีวันแม่ในอเมริกา แต่กว่าเธอจะประสบความสำเร็จก็ครบ 2 ปีพอดีในปี พ.ศ.2457 (ค.ศ.1914) โดยประธานาธิบดี วูดโรว์ วิลสัน ได้มีคำสั่งให้ถือว่าวันอาทิตย์ที่ 2 ของเดือนพฤษภาคมเป็นวันแม่แห่งชาติ และดอกไม้สำหรับวันแม่ของชาวอเมริกันก็คือ ดอกคาร์เนชั่น (carnation) ซึ่งจะแบ่งออกเป็น 2 แบบ คือถ้าแม่ยังมีชีวิตอยู่ให้ประดับตกแต่งบ้าน หรือประตูด้วยดอกคาร์เนชั่นสีชมพู แต่ถ้าแม่ถึงแก่กรรมไปแล้วให้ประดับด้วยดอกคาร์เนชั่นสีขาว

สำหรับในประเทศไทยนั้นมีการจัดงานวันแม่ขึ้นเป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2486 ณ.สวนอัมพร โดยมีกระทรวงสาธารณสุขเป็นผู้จัดงาน แต่เนื่องจากช่วงนั้นเป็นช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 งานวันแม่ในปีต่อมาจึงต้องงดไปโดยปริยาย หลังจากผ่านพ้นวิกฤติสงครามไปแล้ว หลายหน่วยงานได้พยายามรื้อฟื้นให้มีวันแม่ขึ้นมาอีก แต่ก็ไม่ประสบผลสำเร็จเท่าที่ควร และมีการเปลี่ยนกำหนดวันแม่ไปหลายครั้ง แต่กำหนดวันแม่ที่ประชาชนนิยม และเป็นที่รับรองของรัฐบาล คือวันที่ 15 เมษายน โดยเริ่มจัดมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2493 กำหนดงานวันแม่ในวันนี้ยังดำเนินต่อมาอีกหลายปี ก็ต้องมาหยุดชะงักลงอีก ด้วยเหตุผลที่ว่าสภาวัฒนธรรมแห่งชาติผู้จัดงานวันแม่ขาดผู้สนับสนุน ซึ่งก็คือกระทรวงวัฒนธรรมที่ถูกยุบไปนั่นเอง

ต่อมาสมาคมครูคาทอลิกแห่งประเทศไทย เห็นว่าควรมีการจัดงานวันแม่ต่อไป จึงได้รื้อฟื้นงานวันแม่ขึ้นมาอีก และได้กำหนดให้จัดงานวันแม่ คือวันที่ 4 ตุลาคม พ.ศ.2515 แต่จัดได้เพียงปีเดียวก็เลิกไป จนกระทั่งในปี พ.ศ.2519 คณะกรรมการอำนวยการสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์เห็นว่าควรกำหนดวันแม่ให้แน่นอนเสียที จึงได้กำหนดวันแม่ใหม่โดยให้ถือว่าวันเสด็จพระราชสมภพของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ วันที่ 12 สิงหาคม เป็นวันแม่แห่งชาติ และ กำหนดให้ดอกมะลิเป็นดอกไม้สัญลักษณ์ของวันแม่ตั้งแต่นั้นมา

เหตุผลที่ให้ดอกมะลิ เป็นดอกไม้สัญลักษณ์ของวันแม่ เนื่องจากดอกมะลิเป็นดอกไม้ที่มีสีขาวบริสุทธิ์ ส่งกลิ่นหอมไปไกลและหอมได้นาน อีกทั้งยังออกดอกได้ตลอดทั้งปี เปรียบได้กับความรักอันบริสุทธิ์ของแม่ที่มีต่อลูกไม่มีวันเสื่อมคลาย…

นักภาษาศาสตร์ได้ตั้งข้อสังเกตไว้ว่า คำว่า “แม่” ของทุก ๆ ภาษา มาจากการออกเสียงของเด็ก โดยคำขึ้นต้นด้วยพยัญชนะริมฝีปากคู่ (Bilabial) ได้แก่ ม , พ , ป ,บ หรืออาจกล่าวได้ว่าเป็นพยัญชนะชุดแรกที่เด็กสามารถทำเสียงได้ โดยการใช้ริมฝีปากบนและล่าง ดังเช่น

ภาษาไทย แม่
ภาษาจีน ม๊ะ หรือ ม่า
ภาษาฝรั่งเศส la mere (ลา แมร์)
ภาษาอังกฤษ mom , mam
ภาษาโซ่ ม๋เปะ
ภาษามุสลิม มะ
ภาษาไทใต้คง เม

ทายนิสัยจากเสียงหัวเราะ‏

มาแกะรอยนิสัยจากเสียงหัวเราะกันดีกว่า

หัวเราะ เสียงดังลั่น

หากคุณเป็นคนที่หัวเราะเสียงดังลั่น จนได้ยินไปแปดบ้านสิบบ้านนั้น นิสัยเป็นคนที่จริงใจ มีความกล้าหาญเด็ดเดี่ยว เวลาที่มีเรื่องคอขาดบาดตายมาให้ตัดสินใจก็จะสามารถจัดการได้อย่างรวดเร็ว สามารถแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้เก่ง และเป็นคนที่มีความกระตือรือร้นสูง มักหางานนั่นงานโน้นงานนี่มาทำอยู่เสมอ ข้อเสียคือขาดความรอบคอบ เพราะการรีบตัดสินใจเด็ดเดี่ยวนั้นเอง

หัวเราะ เสียงเบา

สำหรับคนที่หัวเราะเสียงเบา ๆ นุ่ม ๆ นิสัยเป็นคนที่มีความระมัดระวังตัวเองสูง ค่อนข้างมีความคิดซับซ้อนอยู่ในใจ และมีความต้องการที่จะให้คนรอบข้างสนใจและรู้สึกนิยมชอบพอในตนเอง ซึ่งเป็นคนที่ละเอียดถี่ถ้วนอยู่เสมอ พร้อมทั้งเป็นคนที่น่าเชื่อถือและมีน้ำใจ พึ่งพาได้ในยามที่ต้องการความช่วยเหลือ

หัวเราะเสียงสูง

คนที่มีเสียงหัวเราะสูง ๆ แหลม นิสัยเป็นคนมีจิตใจกระตือรือร้นอยู่เสมอ ประมาณว่ามีไฟอยู่ตลอดเวลา สนใจเรียนรู้เรื่องแปลก ๆ ใหม่ ๆ ทุกประการ โดยเฉพาะเมื่อได้รวมกลุ่มกับคนหนุ่มคนสาว จะมีพลังในการสร้างสรรค์สูง มักทำในเรื่องสร้างความประหลาดใจต่อผู้อื่นอยู่เสมอ ๆ และเป็นคนจิตใจดี ไว้เนื้อเชื่อใจคนทุกคน และยังเป็นคนที่มีคุณธรรมในจิตใจสูงอีกด้วย จะไม่ยอมทำในเรื่องที่ขัดต่อศีลธรรมโดยเด็ดขาด

หัวเราะเสียงหนักแน่นสม่ำเสมอ

นิสัยเป็นคนที่ชอบความสมบูรณ์แบบอยู่เสมอ คาดหวังเพียงสิ่งที่ดีที่สุดเท่านั้น โดยเฉพาะเรื่องการทำงาน ที่จะทุ่มเทแรงกายแรงใจสูงเพื่อผลของงานที่ดีเยี่ยม นอกจากนี้ยังเป็นคนที่มีจินตนาการแปลก ๆ ใหม่ ๆ เสมอ ซึ่งสร้างความสนใจให้กับคนอื่นได้มากทีเดียว ทั้งยังเป็นคนมีอารมณ์ขัน ที่ช่วยผ่อนคลายความเป็นคนเอาจริงเอาจังกับทุกเรื่อง ไม่ให้กลายเป็นคนซีเรียส จนใคร ๆ ไม่กล้าเข้าใกล้

หัวเราะ เสียงต่ำ

ผู้ที่เสียงหัวเราะเป็นเสียงในโทนต่ำ นิสัยค่อนข้างเป็นคนเจ้าชู้เอาเรื่องทีเดียว และเป็นคนที่ให้ความสำคัญในเรื่องความรักมาก ชีวิตมักวนเวียนอยู่กับเรื่องเหล่านี้เป็นส่วนใหญ่ ในขณะเดียวกันก็เป็นคนที่พูดจาหว่านล้อมคนได้เก่ง เข้ากับผู้คนได้ง่าย มีแนวคิดที่ลึกซึ้งน่าเลื่อมใสศรัทธา และมักเผยแพร่อิทธิพลความคิดของตนได้เสมอ ซึ่งสิ่งนี้เองที่จะทำให้คนมารุมล้อมอยู่บ่อย ๆ ด้วยความนิยมรักใคร่

หัวเราะ เสียงแห้ง

สำหรับคนที่เสียงหัวเราะแห้ง ๆ ไม่มีชีวิตชีวานั้น บ่งบอกถึงนิสัยการเป็นคนชอบต่อสู้และมีชีวิตอยู่ในโลกของความจริง ไม่มีอารมณ์เพ้อฝันในจิตใจเอาเสียเลย แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นคนที่ละเอียดลึกซึ้งทีเดียว มองคนได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ใครที่คิดจะมาหลอกลวงอะไรนั้นยาก และเป็นคนจิตใจดี ชอบช่วยเหลือ และเรียกร้องสิทธิเพื่อคนที่ตกทุกข์ได้ยาก มักมีชีวิตง่าย ๆ สมถะ คบหาคนด้วยเรื่องของจิตใจ มากกว่าฐานะ หรือชื่อเสียงของคน ๆ นั้น

หัวเราะ แล้วน้ำตาไหล

ส่วนคนที่เวลาหัวเราะแล้วจะมีน้ำตาไหลนั้น นิสัยของการเป็นคนที่มีอุดมคติหรืออุดมการณ์นั่นเองมักมีจิตใจที่ ชอบช่วยเหลือคนอื่นอย่างมาก เป็นคนเปิดเผย ร่าเริง ชื่นชมชีวิต รักทุกสิ่งบนโลกนี้ไม่ว่าจะดีหรือเลว เรียกว่าเป็นที่ศรัทธาต่อการดำรงชีวิตที่ไม่ผิดเลยทีเดียว แต่ว่าถ้าต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่มีความซับซ้อนสูง ก็จะสามารถแก้ไขปัญหาให้ผ่านไปได้ด้วยดี แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นคนที่มีโลกส่วนตัว และยังหวงแหนโลกส่วนตัวของตนเอามาก ๆ

หัวเราะหลายเสียง

หมายถึงคนที่มีเสียงหัวเราะหลายแบบอยู่ในตัวเอง คือ สามารถหัวเราะเป็นเสียงสูง ๆ ต่ำ ๆ ได้อย่างน่าแปลกใจ นิสัยเป็นคนที่มีความสามารถในการปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อม ได้ดี เอาใจคนรอบข้างเก่งอีกด้วย นอกจากนี้ยังเป็นบุคลิกที่สามารถเข้ากับใครได้ง่าย ๆ ไม่ถือตัว หรือมีฟอร์มใด ๆ ทั้งสิ้น จะทำงานในหน้าที่บริหารหรือจัดการประสานงานได้ดี